ธีโอดอร์ โรเบิร์ต 'เท็ด' บันดี (Theodore Robert 'Ted' Bundy) เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน เกิดวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 ในระหว่างปี พ.ศ. 2517 – พ.ศ. 2521 เท่าที่ทางการพบ บันดีข่มขืนและฆาตกรรมหญิงสาวในรัฐ โคโลราโด, ฟลอริดา, ยูทาห์, วอชิงตัน, ออริกอน, ไอดาโฮ ไปทั้งสิ้น 36 ราย
บันดีเป็นผู้มีการศึกษาและเป็นคนมีเสน่ห์ เพื่อนๆและคนรู้จักจดจำเขาได้ในฐานะที่เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีและพูดจาเก่ง บันดีถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า เสียชีวิตลงในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2532
ธีโอดอร์ โรเบิร์ต บันดี เกิดวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 เมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ บิดาทิ้งเขาและมารดาไปตั้งแต่เขายังไม่เกิด และไม่ได้แต่งงานกับมารดาของเขา บันดีถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกของตาและยาย โดยโกหกว่ามารดาเป็นพี่สาวของเขา บันดีไม่รู้ความจริงนี้จนกระทั่งลูกพี่ลูกน้องของเขายกเรื่องนี้มาบอก เมื่อเขามีอายุ 10 ปี
บันดี้จบการศึกษาจากวูดโรว์วิลสันไฮสคูล ใน พ.ศ. 2508 และได้ทุนเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยพูเจต์ซาวน์ ทาโคมา วอชิงตัน ในสาขาจิตวิทยา ภายหลังจากศึกษาไป 2 ภาคการศึกษา เขาตัดสินใจย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในซีแอตเทิล และได้เริ่มความสัมพันธ์กับ สเตฟานี บรูกส์ เพื่อนร่วมสถาบันที่มาจากตระกูลผู้ดีในแคลิฟอร์เนีย ทั้ง 2 คบหากันเป็นคู่รัก หลังจากบรูกส์รับปริญญาในปี พ.ศ. 2511 บรูกส์ที่ไม่ค่อยพอใจในความอ่อนแอและขาดความทะเยอทะยานของบันดี ได้ตัดความสัมพันธ์กับเขาและกลับไปแคลิฟอร์เนีย
บันดีพักการเรียนและกลับไปที่ เบอร์ลิงตัน เวอร์มอนต์ บ้านเกิดของเขา ทำงานเป็นเสมียนอยู่ 1 ปี จึงกลับไปศึกษาต่อที่ซีแอตเทิลอีกครั้ง และเริ่มมีนัดกับ อลิซาเบธ เคลิพเฟอร์ เลขานุการที่หย่าแล้วและมีบุตรสาวติดมาด้วย 1 คน บันดีจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2516 เขาปรับปรุงมารยาทและการแต่งตัว หัดเข้าสังคมและอาศัยคนรู้จักจนเข้าสู่สำนักงานของรองประธานาธิบดี เนลสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ เพื่อการรณรงค์หาเสียงของพรรครีพับลิกัน ในฐานะผู้สนับสนุนรองประธานธิบดีร็อกีเฟลเลอร์ เขาขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน จนสมาชิกพรรคคาดหวังว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นเป็นนักการเมืองได้ เมื่อเขาต้องเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย เขาก็ได้พบกับ สเตฟานี บรูกส์ และกลับมามีนัดกันอีกครั้ง เขาคบหากับเคลิพเฟอร์และบรูกส์ไปพร้อมๆกัน โดยที่ทั้ง 2 คนไม่รู้เรื่องของอีกฝ่าย บันดีและบรูกส์ได้ตกลงหมั้นหมายกันเพื่อจะเข้าพิธีสมรส แต่จากนั้นบันดีตัดความสัมพันธ์กับบรูกส์ลงอย่างกลางคัน
แอน รูล์ ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติและอาชญากรรมของ เท็ด บันดี ในหนังสือที่มีชื่อว่า The Stranger Beside Me และนักสืบ โรเบิร์ต ดี เคปเพล ผู้เกี่ยวข้องกับคดีของบันดีเชื่อว่าบันดี น่าจะเริ่มฆ่าคนมาตั้งแต่ยังเด็ก โดย แอน แมรี เบอร์ เด็กหญิงวัย 8 ขวบจากเมืองทาโคมาหายตัวไปจากบ้านในปี พ.ศ. 2504 ขณะนั้นบันดีอายุ 14 ปี ซึ่งบันดีปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า แอน เบอร์ และ 1 วันก่อนการประหารเขาบอกกับทนายของเขาว่าเขาเริ่มพยายามลักพาตัวผู้หญิงจริงๆในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งอาชญากรรมครั้งแรกที่ถูกยืนยันอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2517 เมื่อเขาอายุได้ 27 ปี ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2517 ภายหลังเที่ยงคืนเล็กน้อยบันดีเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ใต้ถุนของอาคารของ โจนี เลนซ์ อายุ 18 ปี นักศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เขาทุบศีรษะเลนซ์ด้วยท่อนเหล็กขณะที่เลนซ์กำลังหลับ และเสียบท่อนเหล็กเข้าไปในช่องคลอดของเลนซ์ ในตอนเช้าเพื่อนร่วมห้องมาพบในขณะที่เลนซ์กำลังโคมาและนอนจมกองเลือด เลนซ์รอดชีวิตแต่สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เหยื่อรายต่อมาของบันดีคือ ลินดา แอน เฮียลีย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยวอชิงตันอีกคนหนึ่ง ในคืนวันที่ 31 ของเดือนเดียวกันบันดีงัดเข้าไปในห้องของเฮียลีย์ ทุบเธอจนหมดสติ ใช้ผ้าปูเตียงห่อร่างของเฮียลีย์และแบกเธอหายไป
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 เป็นวันที่บันดีฆาตกรรมหญิงสาว 2 คนในวันเดียวด้วยการลักพาตัวในเวลากลางวัน เจนิซ ออตต์ และ เดนิส เนสรันด์ หายตัวไปจากทะเลสาบซัมมามิช เมืองอิซซาควาห์ รัฐวอชิงตัน มีพยาน 8 คน บอกตำรวจว่าเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีมีเฝือกที่แขนซ้าย เรียกตนเองว่า "เท็ด" ซึ่ง 5 ใน 8 คนนั้นเป็นหญิงสาวที่ถูกขอให้ช่วยยกเรือใบเล็กลงมาจากรถเต่าโฟล์คสวาเกน 1 ใน 5 คนนั้นเดินไปกับ "เท็ด" จนมองเห็นว่าไม่มีเรือใบเล็กอยู่ที่รถโฟล์คสวาเกน จึงปฏิเสธที่จะเดินต่อ พยานที่เหลืออีก 3 คนคือผู้ที่เห็นเขาเข้าพูดกับ เจนิซ ออตต์ เกี่ยวกับเรื่องเรือใบเล็ก และไม่มีใครเห็นออตต์อีกเลย และเนสรันด์หายตัวไปในอีก 4 ชั่วโมงต่อมา
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2517 ตำรวจรัฐพบศพของออตต์และเนสรันด์แล้ว แต่บันดีได้เดินทางไปที่ซอลต์เลคซิตี เนื่องจากผู้ว่าการรัฐวอชิงตันสนับสนุนให้เขาได้ไปศึกษาต่อด้านกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ วันที่ 2 ตุลาคม แนนซี วิลคอกซ์ หายสาบสูญไป จากซอลต์เลคซิตี วันที่ 18 ของเดือนเดียวกัน แมริซา สมิธ อายุ 17 ปี บุตรสาวของนายตำรวจเมืองมิดเวล รัฐยูทาห์ บิดาของสมิธได้เตือนเธอให้ระวังตัวแล้วหลายครั้ง ซึ่งบันดีฆาตกรรมสมิธด้วยการรัดคอ ข่มขืนเธอทางทวารหนัก ทุบที่ใบหน้าของสมิธหลายครั้ง จนบิดาและมารดาของสมิธจำศพของบุตรสาวไม่ได้